“ตอนนี้มันก็เหงา ๆ หน่อยน่ะครับ แต่ว่าไม่เป็นไร”
ผมบอกกับนักจิตวิทยาในตอนที่ผมเข้าปรึกษาครั้งแรก
นักจิตวิทยาวัยคุณแม่ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน คุยกันมาราว ๆ 15 นาที ผมนั่งสังเกตมาสักพักว่าผมจะได้รับสีหน้าของคนที่ “พยายามเข้าใจ” หรือเปล่า
ที่จริงผมคิดมาเยอะมาก เดาว่าเวลาที่เราคุยกับนักจิตวิทยาจะเหมือนการนั่งสัมภาษณ์ จะมีโมเม้นต์ที่เราตอบไม่ได้ กระอักกระอ่วนแบบความรู้สึกเมื่อต้องคุยกับคนแปลกหน้า แต่ที่จริงบทสนทนาของเรา มันกลับดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าที่คิด
นักจิตฯ ถามผมว่า เริ่มรู้สึกเหงา ๆ แบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ผมคิดย้อนกลับไปถึงตอนสมัยเรียน คิดถึงตอนมหาวิทยาลัยปี 1 ที่มีแต่เพื่อนใหม่ ไม่ได้รู้จักใครลึกซึ้ง ซึ่งก็เข้าใจดีว่าทุกคนก็ต้องเผชิญเหมือนกัน ตอนนั้นก็เหงา ๆ เหมือนกันนะ แต่ก็คุ้น ๆ ว่าเคยรู้สึกอะไรทำนองนี้มาก่อนหน้านั้นเสียอีก
ผมเล่าว่าตอนเป็นเด็กประถม ผมเป็นเด็กที่ถูกแกล้ง แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมก็โตมาได้ อาจจะมีแผลใจอยู่หน่อย ๆ แต่ว่าไม่เป็นไร ผมคิดว่าผมก้าวข้ามมันมาได้แล้ว
พูดแล้ว ผมก็นึกถึงตอนสมัยประถมที่ผมยืนอยู่ที่ข้างสระว่ายน้ำโรงเรียน คนอื่นสอบว่ายน้ำเสร็จก่อนผมและเก็บของไปหมดแล้ว ผมมองสระว่ายน้ำและเก้าอี้ยาวริมสระที่ว่างเปล่า ไม่ได้คิดอะไร ก็แค่เก็บของแล้วก็วิ่งตามเพื่อนไป อาบน้ำเป็นคนสุดท้าย ลงบันไดคนเดียว วิ่งไปตามทางเดินที่ว่างเปล่าเพื่อกลับห้องเรียน
“ไม่มีเพื่อนเลย”
ผมไม่เคยคิดว่ามันจะมีปัญหาอะไร ผมก็โตของผมมาได้ ผมคิดว่าตัวเองเข้มแข็งกว่านั้น ผมอยู่มาได้จะ 30 ปีอยู่แล้ว ไม่เคยโวยวายขอความรักจากใคร ก็อย่างที่บอกว่าตอนนี้ “รู้สึกเหงา ๆ หน่อย แต่ว่าไม่เป็นไร”
อันที่จริงตอนนี้ผมอยู่ในวัยทำงาน ห่างเหินกับเพื่อนที่เคยได้สนิทกันสมัยมหาวิทยาลัยไปเรื่อย ๆ
ผมคิดว่า “มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่” ผมบอกตัวเองว่า “มันก็เรื่องธรรมดา” ผมคิดว่าตัวเองเข้าใจความเป็นจริงดี ที่คนเรามีพบมีจาก แต่บางทีในมุมหนึ่งของหัวใจ ผมเองก็แค่อยากจะโวยวายออกมา ว่าผมไม่อยากจะเป็นคนที่เข้าใจ
นักจิตฯ บอกว่าตอนเด็ก ผมเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่ มีความอดทน แม้จะถูกกลั่นแกล้ง แต่ก็เอาตัวรอดมาได้ตลอด แล้วถามผมว่า “ถ้าสมมติมีตัวเราตอนเด็ก ๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเราตรงนี้ เราคิดว่าจะบอกอะไรกับเค้า?”
ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไปว่า “ก็คงจะดึงเค้ามากอด” “บอกเค้าว่าเก่งมากนะ” “บอกเค้าว่าไม่เป็นไรนะ ต่อให้ทุกอย่างมันจะเป็นไร แต่มันก็ไม่เป็นไรนะ”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาจับใจ
ที่จริงก็มีหลายอย่างที่ไม่อยากจะแบกรับไว้ รู้สึกว่าต้องอดทนมาตลอด แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาหยดหนึ่ง
ผมยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงกับชีวิตตัวเองหลังจากนี้ จะต้องคิดจะต้องรู้สึกยังไงต่อไป นักจิตวิทยาเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะให้การบ้านกับผม
“ทำให้นักจิตฯ อย่างนึงได้ไหมคะ คืนนี้ก่อนนอน หลับตาคิดถึงเด็กคนนั้น บอกเด็กคนนั้น..ให้กำลังใจเด็กคนนั้นหน่อยนะคะ”
ผมยิ้มออกมานิดหน่อยแล้วบอกว่า “ครับ”
Recent Comments