ถ้าวันหนึ่งมีคนบอกว่าซานต้าไม่ได้มีอยู่จริง เราจะรู้สึกอย่างไร?
วันแล้ววันเล่าที่เราเดินอยู่รอบๆ ต้นคริสต์มาส เฝ้ารอว่าจะมีของขวัญมาวางไว้ กล่องเล็กหรือใหญ่ ใช่สิ่งที่เราอธิษฐานขอไว้หรือเปล่า ลุงซานต้าจะรับรู้ไหมว่าเราทำตัวเป็นเด็กดีนะ วันคริสต์มาสใกล้เข้ามาเด็กทั่วโลกต่างก็รอคอยที่จะได้รับของขวัญ แล้วรู้หรือไม่ว่าเรื่องเล่าต่างๆ ส่งผลต่อจิตใจคนเราในระยะยาวและมีผลกับสุขภาพใจด้วยนะ
บรรยากาศแห่งการปาร์ตี้แลกของขวัญเป็นภาพที่เราจำติดตา ใครๆ ต่างก็นึกถึงซานตาคลอส (Santa Claus) คุณลุงหนวดขาวชุดแดงที่ถือถุงของขวัญใบใหญ่ไปแจกของขวัญให้เด็กทั่วโลก เป็นสัญลักษณ์ที่มาพร้อมกับเทศกาล เรื่องเล่าของซานต้าส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน เด็กทั่วโลกต่างรู้จักและเชื่อว่าลุงซานต้าใจดีมีตัวตนอยู่จริงๆ เด็กๆ ที่ทำตัวน่ารัก ลุงซานต้าจะให้ของขวัญโดยการเอาไปวางไว้ใต้ต้นคริสต์มาสหรือใส่ในถุงเท้าที่เด็กน้อยแขวนเอาไว้
แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าต้นกำเนิดจริงๆ ของซานต้ามาจากเซนต์ นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา ท่านเป็นคนใจบุญ ชอบช่วยเหลือเด็กยากไร้ วันหนึ่งท่านได้มอบของขวัญให้เด็กคนหนึ่งโดยแอบเอาของขวัญไปหย่อนทางปล่องไฟ ทำให้เด็กน้อยดีใจมาก หลังจากท่านมรณภาพชาวเมืองฝรั่งเศสได้กำหนดให้วันที่ 6 ธันวาคม เป็น “วันเซนต์นิโคลัส” และเอาถุงเท้าไปแขวนไว้ตามหน้าบ้านของคนยากไร้ ซึ่งประเพณีนี้ได้นิยมไปทั่วและมีการฉลองรวมกับวันคริสต์มาส ต่อมาโธมัส นาสต์ (Thomas Nast) ได้วาดภาพซานตาคลอสเป็นชายแก่ร่างอ้วนใส่ชุดสีแดง มีเลื่อนเป็นยานพาหนะ ออกมาแจกของขวัญในคืนวันคริสต์มาสให้เด็กๆ
แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล่าที่ฟังดูมีความสุข แต่ก็อาจมีข้อเสียอยู่บ้าง เชื่อว่าเด็กหลายคนเคยเถียงกับเพื่อนว่า ซานต้ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่มีจริง ซึ่งต่างคนก็พูดในมุมที่ตัวเองได้รับรู้และปลูกฝังความเชื่อมา ซึ่งจริงๆ มันมีอีกหลายวิธีที่เราจะส่งเสริม “ความคิดสร้างสรรค์” ของเด็ก ผ่านเทศกาลและตำนานต่างๆ โดยไม่ต้องโกหกหรือเชื่อในซานตาคลอสก็ได้ การสอนเด็กให้ชั่งน้ำหนักข้อเท็จจริงตั้งแต่อายุยังน้อยจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในอนาคต
การที่เราไม่ได้อธิบายให้เขาเข้าใจว่านี่คือเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องเล่า อาจมาจากจินตนาการ ตำนาน ฯลฯ อาจส่งผลต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแยกแยะของเด็ก ทั้งนี้หลายคนก็เชื่อว่า “สิ่งที่เราไม่เห็น ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริง” จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันในเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา ในหลายๆ สังคมวัฒนธรรมไม่ได้เติบโตมากับการให้ความสำคัญในวันคริสต์มาสทำให้เด็กๆ เกิดความสับสนได้
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ใช้ตำนานนี้ในการฝึกวินัยเด็ก ถ้าซนหรือทำตัวไม่ดีก็จะถูกลงโทษ จะไม่ได้ของขวัญ การจะให้ของขวัญคริสต์มาสจึงมาพร้อมเงื่อนไขของแต่ละบ้าน สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ “ความรู้สึกของเด็กที่ได้รับของขวัญ” เด็กที่เฝ้ารอของขวัญอาจจะเกิดคำถามว่า “ทำไมเขาไม่ได้ของขวัญที่อยากได้” หรือ “ซานต้าชอบเด็กคนอื่นมากกว่าเขาหรือเปล่า” ทั้งๆ ที่เขาก็พยายามทำตัวเป็นเด็กดีแล้วนะ ดูเหมือนว่าซานต้าจะมองไม่เห็น
พ่อแม่ต้องพยายามหาของขวัญที่จะทำให้ลูกมีความสุข ซึ่งแต่ละครอบครัวก็มีกำลังทรัพย์ต่างกัน ต้องแน่ใจว่าเด็ก ๆ จะเข้าใจว่าความรักจากพ่อแม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมที่ดีเท่านั้นและไม่ได้เกี่ยวกับของขวัญที่มอบให้ หากรู้ว่าเป็นของขวัญที่พ่อแม่ตั้งใจเตรียมให้ เด็กๆ จะรู้สึกซาบซึ้งมากยิ่งขึ้นกับความใส่ใจและห่วงใยของคนในครอบครัว
เมื่อความสำคัญของคริสต์มาสที่อยู่ในภาพจำของเด็ก ๆ คือซานต้าและของขวัญ นี่เลยเป็นมิชชั่นของครอบครัวว่าจะสอนให้เด็กๆ เข้าใจและมีจินตนาการที่สวยงามได้อย่างไร แม้ว่าการบอกเล่าเรื่องซานต้าจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลต่อสุขภาพใจในระยะยาวและลึกซึ้งเกินกว่าจะละเลยได้ แต่ละครอบครัวควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และมีวิธีที่จะดีลกับเด็กๆ อย่างเหมาะสมด้วย
ขอให้ทุกครอบครัวมีวันคริสมาสต์ที่ดีและรักษาความสวยงามของเทศกาลนี้ไว้ ถ้าได้รับประสบการณ์ดีๆ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ใจแข็งแรงเมื่อโตขึ้นได้นะ เพราะอูก้าอยากช่วยดูแลใจให้คุณ สามารถนัดเข้ามาพูดคุยกับนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ของเราได้ตลอดเลย เรายินดีรับฟังคุณเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก
Recent Comments