ถ้าใครเคยดูซีรี่ย์เรื่อง It’s Okay, that’s Love (2014) คุณอาจจะได้พบความ “ผิดปกติ” ที่อยู่ท่ามกลางสิ่งปกติธรรมดาที่สุด ถือเป็นซีรีส์ที่ถ่ายทอดโรคทางจิตเภทได้อย่างลึกซึ้งและเข้าถึงจิตใจคนทั่วไป เล่าถึงจางแจยอลที่ป่วยเป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia) หรือที่คนชอบเรียกสั้น ๆ ว่า “โรคจิต” ซึ่งหลายคนยังเข้าใจผิดว่า “โรคจิต” คือการทำตัวแปลกแยก บ้า ๆ บอ ๆ บางทีก็ใช้เรียกคนที่ทำพฤติกรรมอนาจาร แต่อาจไม่เคยรู้ที่มาที่ไปของโรคนี้จริง ๆ มาก่อนเลย
ทั้งที่แจยอลมีแม่ที่รักและเอาใจใส่ ประสบความเร็จอย่างมากให้ฐานะนักเขียนชื่อดัง เขาดูมีความสุขและยิ้มแย้มเสมอ แต่กลับมีอดีตที่เจ็บปวดจากความรุนแรงในครอบครัว แจยอลเลือกที่จะใส่ร้ายพี่ชายเพื่อปกป้องแม่ สุดท้ายเขากับแม่ได้ทิ้งอดีตเพื่อเดินหน้าต่อไป ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของเขาราบรื่นมากจนเหมือนว่าภาพเก่า ๆ ไม่อยู่ในหัวอีกแล้ว โดยเผลอลืมไปว่าตัวเองก็มีมุมที่อ่อนแอ ซึ่งเขาได้มองข้ามบาดแผลพวกนั้นไป
จนวันหนึ่งเขาได้พบกับคังวู แฟนคลับของเขาที่มีชีวิตลำบากเหมือนกับเขาในวัยเด็ก เขาจึงรู้สึกเชื่อมโยงกับเด็กคนนี้และพยายามช่วยเหลือทุกอย่าง จนเริ่มมีอันตรายและกระทบกับการใช้ชีวิต โดยไม่รู้ว่าคังวูคือภาพหลอนที่แจยอลมองเห็นเพราะอาการของโรค ในซีรีส์ได้ผูกชีวิตของแจยอลกับตัวตนคังวูเพื่อให้เราเข้าใจโรคนี้ได้ง่ายขึ้น แต่จริง ๆ แล้วโรคจิตเภทนั้นมีความซับซ้อนพอสมควร ซึ่งเราแบ่งอาการออกได้เป็น 5 ประเภทกว้าง ๆ คือ
- อาการหลงเชื่อผิด (Delusions)
เป็นความเชื่อที่ผิดไปจากความเป็นจริง เช่น คิดว่าคนอื่นจะมาทำร้าย ระแวงว่าตนจะถูกวางยาพิษ คิดว่าตนส่งกระแสจิตได้
- ความคิดผิดปกติ (Disorganized thinking)
ทำให้คิดแบบเป็นเหตุเป็นผลอย่างต่อเนื่องไม่ได้ จึงมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร คุยกับคนอื่นไม่เข้าใจ ปะติดปะต่อไม่ได้ หรือเปลี่ยนเรื่องโดยไม่มีเหตุผล
- ประสาทหลอน (Hallucinations)
คิดหรือเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น หูแว่ว เห็นภาพหลอน มีเพื่อนในจินตนาการ
- มีพฤติกรรมผิดปกติ (Extremely disorganized or abnormal motor behavior)
มาจากความคิดและความเชื่อที่บิดเบือนจนเกิดพฤติกรรมอันตราย เช่น ทำร้ายคนอื่น ทำท่าทางแปลก ๆ มีอารมณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ควบคุมไม่ได้ อาจหัวเราะหรือร้องไห้สลับกัน
- อาการด้านลบ (Negative symptoms)
คือการขาดในสิ่งที่ควรจะมีในคนทั่วๆ ไป ได้แก่ เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ไม่ทุกข์ร้อน ไม่สนใจตัวเอง อาจอยู่เฉยๆ ได้ทั้งวัน ไม่อยากปฏิสัมพันธ์กับใคร
จุดเริ่มต้นของความเศร้าในวัยผู้ใหญ่ คือภาพสะท้อนจากชีวิตวัยเด็ก ในตอนแรกแจยอลนั้นรับไม่ได้ที่รู้ว่าคังวูเป็นแค่ภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นมา เขาปฏิเสธการรักษาเพราะเชื่อว่าตนเองไม่ได้ป่วยและเขาเติบโตมาด้วยความรักของแม่ แต่เขากลับลืมไปว่าการได้รับความรักจากใครคนหนึ่งอาจกลายเป็นบาดแผลในใจได้เช่นกัน ซึ่งก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคคืออะไร ? แล้วการเลี้ยงดูส่งผลหรือไม่ ?
ในที่นี้จะขอพูดถึงความผิดปกติที่ชัดเจนทางด้านร่างกายว่าสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้คน ๆ หนึ่งป่วยเป็นโรคจิตเภทมาจาก
- กรรมพันธุ์ : อาจได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง มีเครือญาติป่วยด้วยโรคนี้
- สารเคมีในสมอง : โดพามีน (Dopamine) มีการทำงานมากเกินไป
- ความผิดปกติในสมอง : ช่องในสมองโตกว่าคนทั่วไป หรือมีเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าน้อย การทำงานของสมองผิดปกติ เป็นต้น
ปัจจัยด้านครอบครัวพบว่าอาจจะมีผลในแง่การกำเริบของโรค โดยเฉพาะการใช้อารมณ์สื่อสารกัน มีการต่อว่ารุนแรง หรือพยายามควบคุมผู้ป่วยมากเกินไป จากการศึกษามากมายเชื่อว่าโรคจิตเภทมีสาเหตุหลายอย่างประกอบกัน ทั้งร่างกายและจิตใจสำคัญทั้งสิ้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เป็นโรคจิตเภทจะไม่ทราบว่าตัวเองผิดปกติและยากที่จะยอมรับ เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน ที่มันเกิดกับเขาว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงและคนอื่นไม่ได้รับรู้สิ่งนั้นด้วย หากเริ่มรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลก็มักจะเลือกบิดเบือนและหลอกตัวเอง ปกปิดอาการ อาจถึงขั้นสูญเสียการควบคุมตัวเองเพราะเชื่อในความไม่จริงนั้นทำให้ยากจะรักษา บางรายเยียวยาตัวเองผิดวิธี เช่น พึ่งพาแอลกอฮอล์/ยาเสพติด แยกตัวจากสังคม ทำร้ายคนอื่น
ซึ่งโรคจิตเภทในแต่ละรายก็มีรายละเอียดแตกต่างกันไป แม้จะเรียกว่าโรคจิตเภทเหมือนกันก็ตาม คำว่า “โรคจิต” จึงเป็นคำเหมารวมง่าย ๆ ที่คนทั่วไปใช้เรียกผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งเราอยากให้เข้าใจคนกลุ่มนี้มากขึ้นและไม่ตีตราคนกลุ่มนี้ท่ีต้องการกำลังใจอย่างมากในการดูแลฟื้นฟูจิตใจ ที่สำคัญคือคนรอบข้างต้องเข้าใจและมีความรู้เกี่ยวกับโรคจิตเภทพอสมควร เพื่อให้ผู้ป่วยได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ต้องบอกว่าการรักษาโรคจิตเภทนั้นค่อนข้างยากและใช้เวลานาน หลัก ๆ ต้องใช้ยารักษา ทำจิตบำบัด อยู่ภายใต้การดูแลแนะนำจากจิตแพทย์ หากรุนแรงควรเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เมื่ออาการทุเลาก็สามารถใช้ชีวิตปกติได้ เพียงแต่ควรมีครอบครัวดูแลใกล้ชิด เผื่อมีอาการกำเริบหรือลืมทานยา จากการศึกษาลักษณะของโรคในระยะยาวพบว่าประมาณ 20-30 % ใช้ชีวิตประจำวันได้แทบจะปกติ อีก 20-30 % ยังมีอาการอยู่บ้างแต่ไม่รุนแรง ในขณะที่ 40-60 % นั้นแสดงอาการอยู่ตลอด ดังนั้นการเข้ารับการรักษาสำคัญมาก
เมื่อได้รับการรักษาแจยอลจึงปลดล็อกในใจได้ สิ่งสำคัญที่เขาเพิ่งเข้าใจในวัยสามสิบตอนปลายคือ เขาลืมที่จะมอบความรักให้ตัวเอง มีประโยคหนึ่งที่ได้แม่นจากเรื่องนี้คือ “ได้รับความรัก ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจ็บปวด” เราไม่มีทางรู้เลยว่าบาดแผลของแต่ละคนอยู่ตรงไหน ดังนั้นอย่าปล่อยให้ความเครียดหรืออึดอัดคับข้องใจอยู่กับเรานาน
มาทำความเข้าใจเรื่องของสุขภาพจิตกันใหม่และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รักษาอย่างถูกวิธีกันเถอะ หากใครมีความเครียด รู้สึกไม่สบายใจ อย่าลืมนึกถึงอูก้าที่พร้อมจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้คุณ อูก้ามีจิตแพทย์และนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญในการปรึกษาปัญหาใจที่พร้อมรับฟังทุกเรื่องราว ให้เรารับฟังคุณนะ 🙂
ปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาผ่านวิดีโอคอล นัดคุยได้เลย ดาวน์โหลดแอปฯ หรือคุยผ่านเว็บไซต์ > https://ooca.page.link/schizophreniablog
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและบริการของ Ooca ได้ที่ https://ooca.page.link/oocaservice
พบปัญหาการใช้งาน ทักแชทมาหาเรา > bit.ly/msgfbooca
#OOCAitsOK#WeWillListen#เรื่องของใจให้เรารับฟัง#แอปปรึกษาจิตแพทย์และนักจิตวิทยา#mentalhealth#สุขภาพจิต#เครียด#ซึมเศร้า#พบจิตแพทย์
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.manarom.com/blog/schizophrenia.html
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/schizophrenia/symptoms-causes/syc-20354443
https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/09042014-0855
Recent Comments