รู้สึกผิดในสิ่งที่ไม่อยากทำ

รู้สึกผิดหรือไม่ เมื่อสิ่งที่ฉันทำลงไปใจไม่ได้ “สั่งมา”

รู้สึกผิดหรือไม่ เมื่อสิ่งที่ฉันทำลงไปใจไม่ได้ “สั่งมา”
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
หลายครั้งเราจะพบว่าคนธรรมดากล้าทำพฤติกรรมบางอย่างที่ขัดกับศีลธรรมในใจ หรือบรรทัดฐานของสังคมอะไรทำให้เรากล้าที่จะทำเช่นนั้น ทั้งที่เราไม่ได้เป็นคนมีนิสัยโหดร้ายหรือชอบใช้ความรุนแรง แต่เรายอมทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะได้รับ “คำสั่ง” มาจริงๆ เหรอ?
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ในทางจิตวิทยาสามารถอธิบายนิสัยทำตามคำสั่งหรือปรากฏการณ์แบบนี้ได้ด้วยการทดลองของ Stanley Milgram นักจิตวิทยาสังคมชาวอเมริกัน ซึ่งได้ทำการทดลองกับผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่ได้รับภารกิจให้สอนนักเรียน เมื่อนักเรียนตอบคำถามผิดพวกเขาจะต้องส่งกระแสไฟฟ้าไปช็อตเพื่อเป็นการลงโทษ แต่การช็อตไฟฟ้านั้นอยู่ภายใต้การดูแลของนักวิจัย ไม่มีใครได้รับอันตรายจากการทดลอง
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
เมื่อมีคนแสดงออกว่ารู้สึกผิดที่ทำให้นักเรียนเจ็บและไม่อยากทำต่อ นักวิจัยก็จะเตือนว่าการทดลองนี้ “สำคัญมาก” และต้องทำให้ “สำเร็จ” ผลคือ 2 ใน 3 ของผู้ที่เข้าร่วมตัดสินใจช็อตไฟฟ้านักเรียนต่อไปจนถึงคำสั่งสุดท้าย นั่นคือเพิ่มความรุนแรงของกระแสไฟฟ้าที่อันตรายถึง “ชีวิต” พวกเขาคิดอะไรขณะที่ทำรุนแรงกับนักเรียน?
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
มีผลวิจัยกล่าวว่า สมองของเราจะทำงานน้อยลงเมื่อได้รับมอบหมายหรือถูกบังคับให้ทำตามคำสั่งและรู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบเพราะไม่ใช่การทำตามความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง นอกจากนี้การตัดสินใจของคนเรายังขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมด้วย พฤติกรรมใดที่ทำแล้วเป็นที่ยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เราก็มีแนวโน้มจะแสดงพฤติกรรมที่ถูกคนอื่นคาดหวังให้เป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นจริงๆ
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
อะไรที่จะทำให้เราตัดสินใจเลือกที่จะทำตามคำสั่งหรือขัดคำสั่ง?
#คำตอบจากทีมงานของอูก้า
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ก่อนอื่นเราต้องรู้จักตัวเองว่าเรามีทัศนคติ ค่านิยมและความเชื่ออย่างไร เพราะการที่เราตัดสินใจเลือกทำพฤติกรรมบางอย่าง นอกจากจะทำได้ตามสัญชาตญาณแล้วนั้น เราอาจเลือกเพราะสิ่งนั้นสำคัญต่อชีวิตเราแม้จะขัดกับความเห็นของคนส่วนใหญ่ก็ตาม
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ประสบการณ์ชีวิตจะช่วยให้เราตัดสินใจเลือกสิ่งที่ “ควร” และ “ไม่ควร” แน่นอนเราจะไม่เลือกในสิ่งที่มีแนวโน้มจะผิดพลาดและส่งผลในทางลบ แต่หากเรามีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทำตามคำสั่งก็จำเป็นจะต้องปล่อยวางความเชื่อบางอย่าง นั่นคือการลด ego ลงและปรับตัวเองให้เข้ากับผู้อื่นมากขึ้น
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
เราจะรู้สึกสบายใจมากขึ้น หากสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำและความเชื่อของเราเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ถ้าเราได้รับคำสั่งที่สวนทางกับความคิด เราจะเกิดความขัดแย้งภายในใจ ถ้าไม่สามารถจัดการได้ก็จะนำไปสู่ความเครียด รู้สึกผิดและอาการป่วยทางใจในภายหลังได้
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ปรับ mindset ของตัวเองและยอมรับว่าคนในสังคมหรือครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็นจะต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมีมุมมองต่อเรื่องนั้นอย่างไร ค่านิยมเป็นสิ่งที่สามารถยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้ในบางสถานการณ์ เลิกโทษตัวเองเมื่อต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจ ถ้าหากตัดสินใจเลือกไปแล้วอย่าได้กังวลใจอีกเลย “let it go” ซะ!
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀

#คำตอบจากนักจิตวิทยา
ในบางครั้งเราอาจทำบางอย่างที่ขัดกับศีลธรรมเพราะอยากได้รับการยอมรับชื่นชมจากกลุ่ม เราจึงเลือกทำพฤติกรรมที่คนในกลุ่มเห็นว่า “ควร” ทำ เพื่อรักษาสัมพันธภาพที่ดีแม้ว่าในใจเราอาจจะไม่ได้อยากแสดงออกแบบนั้นเลย ซึ่งคนเรายังมีพัฒนาการทางด้านจริยธรรม (Moral Development) ด้วย ซึ่ง Lawrence Kohlberg ได้แบ่งออกเป็น 3 ระดับได้แก่
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ระดับที่ 1) ก่อนกฎเกณฑ์สังคม (Pre – Conventional Level) เราจะทำตามกฎเกณฑ์ทั่วไป ได้รับตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ดี” หรือ “ไม่ดี” จากคนรอบตัว พฤติกรรม “ดี” คือ สิ่งที่ทำแล้วได้รางวัล ส่วนพฤติกรรม “ไม่ดี” คือ สิ่งที่ทำแล้วถูกลงโทษ
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ระดับที่ 2) ตามกฎเกณฑ์สังคม (Conventional Level) เราจะตัดสินว่าสิ่งใด “ควรทำ” หรือ “ไม่ควรทำ” ตามความคาดหวังของครอบครัวและสังคม เพราะกลัวว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่นโดยไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองมากเท่าที่ควร
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ระดับที่ 3) เหนือกฎเกณฑ์สังคม (Post – Conventional Level) เราไตร่ตรองโดยยึดตามมาตรฐานทางจริยธรรมและกฎเกณฑ์ในใจของตัวเองก่อนที่จะแสดงพฤติกรรมบางอย่าง การตัดสินใจจะมาจากวิจารณญาณ ไม่ใช่อิทธิพลของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่เรายึดถือนั้นควรตั้งอยู่บนหลักความยุติธรรมและเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
นักจิตวิทยาของอูก้ายังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “หากเราใช้เหตุผลทางจริยธรรมในระดับเหนือกฎเกณฑ์ คือตัดสินใจด้วยวิจารญาณ ยืนหยัดในความถูกต้อง เราจะไม่โน้มเอียงไปตามคำสั่งง่ายๆ แต่เราจะตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ตรงกับมโนธรรมและค่านิยมของตัวเอง”
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
อย่างไรก็ตาม การที่เราเลือกทำพฤติกรรมใดก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีศีลธรรมหรือจริยธรรมในใจ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมีพัฒนาการทางจริยธรรมทั้งสามระดับอยู่ในตัวเอง เพียงแต่เลือกที่จะแสดงออกตามสถานการณ์และบริบทในสังคมมากกว่า ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในขั้นใดนั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่เรารู้ตัวเองว่าเราให้คุณค่ากับใคร สิ่งใด เพื่อที่เราจะได้เข้าใจการกระทำของตัวเองและไม่ตัดสินใจอะไรโดยประมาท
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
อูก้าขอเป็นกำลังใจให้คนไทยทุกคน ผ่านช่วงเวลาที่อ่อนไหวนี้ไปด้วยกัน หากคุณรู้สึกเครียดหรือไม่สบายใจ ลองทักมาพูดคุยกับพี่ๆ นักจิตวิทยาและจิตแพทย์ของอูก้าได้เลยตลอดเวลาเลยนะ เราพร้อมจะรับฟังคุณเสมอพร้อมฟีเจอร์ใหม่ทางเว็บอูก้า ห้ามพลาดนะคะ

Read More
คิดไม่เหมือนกัน คิดต่าง จิตวิทยา

OOCAknowledge ป้า vs เด็ก การปะทะของความคิดต่างและการมี Self-awareness

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาข่าว “ป้าตบเด็ก” กลายเป็นที่พูดถึงอยู่หลายวัน ว่าด้วยเรื่องการใช้อารมณ์ ความรุนแรง เราอยากให้ทุกคนลองทบทวนดูว่าจริงๆ แล้วสาเหตุที่คุณป้าทำพฤติกรรมนั้นเป็นเพราะอะไร เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบหรือเขากำลังคิดอะไรอยู่

ที่ต้องหยิบยกประเด็นนี้มาเล่าเพราะในทุกคนกำลังให้ความสำคัญกับ “ความเห็นต่างทางการเมือง” เราอาจเผลอทำร้ายอื่นโดยไม่รู้ตัว เป็นไปได้ไหมที่เราจะหันหน้ามาพูดคุยกันแล้วทำความเข้าใจคนที่คิดต่างให้มากขึ้น เริ่มต้นที่การตระหนักรู้ในตัวเอง (Self-awareness)

ก่อนอื่นมองตัวเองให้ดีว่าเราเป็นใคร? และเรามองโลกอย่างไร?

นักจิตวิทยาชื่อ Shelley Duval และ Robert Wicklund’s อธิบายว่า “Self-awareness คือ เมื่อเรารู้จักตัวเองเราจะเข้าใจสิ่งที่ทำ รู้ว่าให้ความสำคัญกับอะไรอยู่ ช่วยให้มีสติและมีความเป็นกลางในตัวเองมากขึ้น”

เวลาที่เราขาด Self-awareness เราอาจจะมองไม่เห็น “อารมณ์” ของตัวเอง กลายเป็นทำทุกอย่างตามความเชื่อ…เชื่อว่าสิ่งนั้นดีและถูกต้องโดยลืมไปว่าคนเราได้พัฒนาความเชื่อ ค่านิยม หรือทัศนคติขึ้นมาจากประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน จึงไม่ควรมองคนอื่นในลักษณะเหมารวมหรือคิดว่าทั้งกลุ่มนั้นจะต้องมีนิสัยหรือทัศนคติที่เหมือนกัน แต่เราจะย้ำเตือนตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าตัวเองกำลังคิดหรือทำอะไรอยู่

แล้วจะทำอย่างไรให้เรามี Self-awareness มากขึ้น

– Mindfulness เพราะสติช่วยทำให้เกิดรับรู้ได้ว่าร่างกายและจิตใจของเราเป็นอย่างไร ซึ่งเราจะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น

– Take a note สังเกตสิ่งที่เกิดรอบตัวแล้วเขียนบันทึก เป็นการทบทวนความคิดและความรู้สึก เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้แล้วเรารู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร

– Deep-listening การฟังที่ไม่ใช่แค่การได้ยิน เราสามารถเพิ่ม self-awareness ได้ผ่านพูดคุยกับคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนอื่นๆ เทคนิคสำคัญคือให้เราโฟกัสที่การฟังและพยายามเข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังบอกเราให้ดี

– Share การสอบถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่นบ้าง ทำให้เราได้เปิดกว้างทางความคิดและสิ่งที่เกิดขึ้นอาจทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ช่วยให้เราออกจาก comfort zone และเลิกยึดติดกับความคิดของตัวเอง

– Reflection ลองย้อนกลับไปหาคำตอบของสิ่งที่เห็นหรือได้ยินอีกครั้ง ช่วยให้เราไม่ตัดสินอะไรแบบผิวเผิน นอกจากได้เรียนรู้แล้วยังถือเป็นการทบทวนประสบการณ์ที่ผ่านมา แล้วยังนำไปแบ่งปันให้คนอื่นได้อีกด้วย

ที่สำคัญมากๆ เลยคือ Self-awareness ทำให้เราเข้าใจร่างกาย อารมณ์ ประสบการณ์ ความคิดและความสามารถของตัวเอง ช่วยให้เราอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้น รู้ว่าจะต้องจัดการความคิดและอารมณ์อย่างไรต่อไป เราจะคอยมองหาสิ่งดีๆ ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ดังนั้นถึงจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อาจแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้หากเราขาด Self-awareness

เป็นไปได้ไหมถ้าคุณป้าจะใช้วิธีอื่นเพื่อทำความเข้าใจกับเด็กนักเรียนอย่างการเข้าไปพูดคุย หรือรอให้ใจเย็นอีกนิด คุณป้าอาจจะเกิด Self-awareness และรับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังไม่พอใจ ควรหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์นั้นแทน

นอกจากจะรู้ตัวเองแล้ว เราต้องรับรู้ความเป็นไปของโลกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คนที่ต้องยอมรับว่าสังคมกำลังเปลี่ยนแปลงไป เราอาจสูญเสีย “ความเป็นกลาง” ในการมองโลก เมื่อเราเพิกเฉยหรือปิดรับข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเชื่อของเรา การที่เราเลือก “รับ” แค่บางอย่าง เปรียบเหมือนปิดประตูตั้งแต่ด่านแรก ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงเรากับคนอื่นก็ถูกปิดด้วย

อย่าลืมว่าความเชื่อ ค่านิยมและทัศนคติไม่เกี่ยวกับอายุหรือสถานะ “การยอมรับความแตกต่างง่ายกว่าการคาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแปลง” โลกของความเป็นจริงคือโลกที่ทุกคนคิดต่าง แต่วิธีสื่อสารและความเข้าใจต่างหากที่จะทำให้อยู่ร่วมกันได้

อูก้ายินดีจะรับฟังทุกมุมมองและเข้าใจในสิ่งที่คุณเชื่อ ไม่ว่าปัญหาจะหนักแค่ไหนเราก็จะผ่านไปได้แน่นอนสามารถทักมาพูดคุยกับพี่ๆนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ของอูก้าได้นะคะ

อ้างอิง

https://hbr.org/2018/01/what-self-awareness-really-is-and-how-to-cultivate-it

https://positivepsychology.com/self-awareness-matters-how-you-can-be-more-self-aware/

https://www.urbinner.com/post/self-awareness

Read More
ซานต้ากับการพัฒนาเด็ก จิตวิทยาเด็ก

OOCAknowledge: Santa ที่หายไป ส่งผลยังไงกับใจเด็ก

ถ้าวันหนึ่งมีคนบอกว่าซานต้าไม่ได้มีอยู่จริง เราจะรู้สึกอย่างไร?

วันแล้ววันเล่าที่เราเดินอยู่รอบๆ ต้นคริสต์มาส เฝ้ารอว่าจะมีของขวัญมาวางไว้ กล่องเล็กหรือใหญ่ ใช่สิ่งที่เราอธิษฐานขอไว้หรือเปล่า ลุงซานต้าจะรับรู้ไหมว่าเราทำตัวเป็นเด็กดีนะ วันคริสต์มาสใกล้เข้ามาเด็กทั่วโลกต่างก็รอคอยที่จะได้รับของขวัญ แล้วรู้หรือไม่ว่าเรื่องเล่าต่างๆ ส่งผลต่อจิตใจคนเราในระยะยาวและมีผลกับสุขภาพใจด้วยนะ

บรรยากาศแห่งการปาร์ตี้แลกของขวัญเป็นภาพที่เราจำติดตา ใครๆ ต่างก็นึกถึงซานตาคลอส (Santa Claus) คุณลุงหนวดขาวชุดแดงที่ถือถุงของขวัญใบใหญ่ไปแจกของขวัญให้เด็กทั่วโลก เป็นสัญลักษณ์ที่มาพร้อมกับเทศกาล เรื่องเล่าของซานต้าส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน เด็กทั่วโลกต่างรู้จักและเชื่อว่าลุงซานต้าใจดีมีตัวตนอยู่จริงๆ เด็กๆ ที่ทำตัวน่ารัก ลุงซานต้าจะให้ของขวัญโดยการเอาไปวางไว้ใต้ต้นคริสต์มาสหรือใส่ในถุงเท้าที่เด็กน้อยแขวนเอาไว้

แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าต้นกำเนิดจริงๆ ของซานต้ามาจากเซนต์ นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา ท่านเป็นคนใจบุญ ชอบช่วยเหลือเด็กยากไร้ วันหนึ่งท่านได้มอบของขวัญให้เด็กคนหนึ่งโดยแอบเอาของขวัญไปหย่อนทางปล่องไฟ ทำให้เด็กน้อยดีใจมาก หลังจากท่านมรณภาพชาวเมืองฝรั่งเศสได้กำหนดให้วันที่ 6 ธันวาคม เป็น “วันเซนต์นิโคลัส” และเอาถุงเท้าไปแขวนไว้ตามหน้าบ้านของคนยากไร้ ซึ่งประเพณีนี้ได้นิยมไปทั่วและมีการฉลองรวมกับวันคริสต์มาส ต่อมาโธมัส นาสต์ (Thomas Nast) ได้วาดภาพซานตาคลอสเป็นชายแก่ร่างอ้วนใส่ชุดสีแดง มีเลื่อนเป็นยานพาหนะ ออกมาแจกของขวัญในคืนวันคริสต์มาสให้เด็กๆ

แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล่าที่ฟังดูมีความสุข แต่ก็อาจมีข้อเสียอยู่บ้าง เชื่อว่าเด็กหลายคนเคยเถียงกับเพื่อนว่า ซานต้ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่มีจริง ซึ่งต่างคนก็พูดในมุมที่ตัวเองได้รับรู้และปลูกฝังความเชื่อมา ซึ่งจริงๆ มันมีอีกหลายวิธีที่เราจะส่งเสริม “ความคิดสร้างสรรค์” ของเด็ก ผ่านเทศกาลและตำนานต่างๆ โดยไม่ต้องโกหกหรือเชื่อในซานตาคลอสก็ได้ การสอนเด็กให้ชั่งน้ำหนักข้อเท็จจริงตั้งแต่อายุยังน้อยจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในอนาคต

การที่เราไม่ได้อธิบายให้เขาเข้าใจว่านี่คือเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องเล่า อาจมาจากจินตนาการ ตำนาน ฯลฯ อาจส่งผลต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแยกแยะของเด็ก ทั้งนี้หลายคนก็เชื่อว่า “สิ่งที่เราไม่เห็น ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริง” จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันในเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา ในหลายๆ สังคมวัฒนธรรมไม่ได้เติบโตมากับการให้ความสำคัญในวันคริสต์มาสทำให้เด็กๆ เกิดความสับสนได้

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ใช้ตำนานนี้ในการฝึกวินัยเด็ก ถ้าซนหรือทำตัวไม่ดีก็จะถูกลงโทษ จะไม่ได้ของขวัญ การจะให้ของขวัญคริสต์มาสจึงมาพร้อมเงื่อนไขของแต่ละบ้าน สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ “ความรู้สึกของเด็กที่ได้รับของขวัญ” เด็กที่เฝ้ารอของขวัญอาจจะเกิดคำถามว่า “ทำไมเขาไม่ได้ของขวัญที่อยากได้” หรือ “ซานต้าชอบเด็กคนอื่นมากกว่าเขาหรือเปล่า” ทั้งๆ ที่เขาก็พยายามทำตัวเป็นเด็กดีแล้วนะ ดูเหมือนว่าซานต้าจะมองไม่เห็น

พ่อแม่ต้องพยายามหาของขวัญที่จะทำให้ลูกมีความสุข ซึ่งแต่ละครอบครัวก็มีกำลังทรัพย์ต่างกัน ต้องแน่ใจว่าเด็ก ๆ จะเข้าใจว่าความรักจากพ่อแม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมที่ดีเท่านั้นและไม่ได้เกี่ยวกับของขวัญที่มอบให้ หากรู้ว่าเป็นของขวัญที่พ่อแม่ตั้งใจเตรียมให้ เด็กๆ จะรู้สึกซาบซึ้งมากยิ่งขึ้นกับความใส่ใจและห่วงใยของคนในครอบครัว

เมื่อความสำคัญของคริสต์มาสที่อยู่ในภาพจำของเด็ก ๆ คือซานต้าและของขวัญ นี่เลยเป็นมิชชั่นของครอบครัวว่าจะสอนให้เด็กๆ เข้าใจและมีจินตนาการที่สวยงามได้อย่างไร แม้ว่าการบอกเล่าเรื่องซานต้าจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลต่อสุขภาพใจในระยะยาวและลึกซึ้งเกินกว่าจะละเลยได้ แต่ละครอบครัวควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และมีวิธีที่จะดีลกับเด็กๆ อย่างเหมาะสมด้วย

ขอให้ทุกครอบครัวมีวันคริสมาสต์ที่ดีและรักษาความสวยงามของเทศกาลนี้ไว้ ถ้าได้รับประสบการณ์ดีๆ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ใจแข็งแรงเมื่อโตขึ้นได้นะ เพราะอูก้าอยากช่วยดูแลใจให้คุณ สามารถนัดเข้ามาพูดคุยกับนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ของเราได้ตลอดเลย เรายินดีรับฟังคุณเสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก

https://www.educatepark.com/วันคริสต์มาส/ซานตาคลอส/

https://dailytitan.com/opinion/perspective-the-negative-repercussions-of-santa-claus/article_0105424d-b0dd-5738-b7bd-61a881a07778.html

Read More
โดนหลอกให้รัก

OOCAknowledge: Romance Scam รักหลอกๆ บนโลกออนไลน์

“แม้เราจะไม่เคยเจอหน้า แต่พรหมลิขิตก็ทำให้เราได้รักกัน เธอต้องเป็นเนื้อคู่ของฉันแน่นอน”

เพราะความเหงาไม่เข้าใครออกใคร เลยอยากตามหาความโรแมนติกให้ใจเต้นบ้าง แต่ชีวิตก็ไม่มีเวลาจะไปหาแฟนที่ไหน dating app หรือโลกออนไลน์จึงเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนยุคใหม่ที่ใช้มือถือแทบจะตลอดเวลา แต่ใครจะรู้ว่ามันจะพาเราไปเจอคนดีหรือคนไม่ดี สุดท้ายอาจลงเอยด้วย “Romance Scam” หรือการหลอกลวงแบบโรแมนติกก็เป็นได้

โดยการสานสัมพันธ์บนโลกออนไลน์นั้น Scammer จะใช้วิธีการต่างๆ หลอกล่อคนอื่นให้ไว้ใจ หลงรัก หลงกลจนยอมทำในสิ่งที่ Scammer ต้องการ ซึ่งอาจสร้างเงื่อนไขบางอย่างเพื่อแลกเปลี่ยน ยกตัวอย่างเช่น จะแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน จะซื้อของราคาแพงให้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงคำหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น หากเหยี่อเริ่มรู้ตัวเมื่อไร Scammer ก็อาจจะถอยห่างหรือหายไปดื้อๆ แล้วพยายามหาเหยื่อรายต่อไป

จุดเริ่มต้นของการหลอกลวงคือ สร้าง account ปลอมขึ้นมาเพื่อเข้าหาเหยื่อโดยเฉพาะ สำรวจความเป็นไปได้และเลือกคนที่มีแนวโน้มจะเชื่อคนง่าย แต่สามารถให้ผลตอบแทนได้มาก ซึ่งคนที่ตกเป็นเป้าหมายมักจะเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหว ขี้เหงา ใช้เวลาในโลกออนไลน์ค่อนข้างเยอะ ฯลฯ จากนั้นก็เริ่มแทรกซึมเข้าไปในชีวิตของเหยื่อ ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การจีบ (Flirting) และขยับสถานะให้เป็นคนพิเศษในชีวิตของเหยี่อ เพื่อไปสู่ขั้นสร้างสัญญาระหว่างกัน (Making a promise) คล้ายๆ การขายฝันให้สมจริงที่สุด หลังจากนั้นจึงหลอกเอาเงินหรือผลประโยชน์บางอย่าง โดยใช้ข้ออ้างที่น่าเชื่อถือ สอดคล้องกับประวัติหรือนิสัยที่สร้างมาตั้งแต่แรก

Romance Scam มีด้วยกันหลายแบบทั้ง Blackmail ข่มขู่เพื่อทำลายชื่อเสียง คุกคามความเป็นอยู่ หรือหลอกเอาทรัพย์สมบัติ ที่แย่ที่สุดคือใช้ “ความรัก” ในการหลอกลวงหรือเรียกว่า Pro-Daters พวกนี้จะวางแผนมาอย่างดี เอาอกเอาใจและสร้างเรื่องราวโรแมนติก แล้วค่อยๆ กอบโกยผลประโยชน์ไปเรื่อยๆ

แน่นอนเลยว่าคนที่ตกหลุมรักง่ายๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงวัยทำงานจนถึงวัยเกษียณมีความเสี่ยงในการถูกหลอกมากที่สุด เพราะนอกจากจะมีเงินยังโดดเดี่ยวและเหนื่อยล้าอีกด้วย ช่องว่างทางใจนี่แหละเป็นจุดบอดให้ Scammer เข้ามาตีสนิทได้ง่ายขึ้น แม้จะมีคนรอบข้างทักท้วงหรือลางสังหรณ์บางอย่างเริ่มเตือน แต่เหยื่ออาจเลือกที่จะปิดหูปิดตาแล้วบอกตัวเองว่า “นี่คือรักแท้ของฉันแน่นอน” ฟ้าส่งเธอมาในตอนที่ชีวิตฉันกำลังย่ำแย่ ไม่มีทางที่เธอจะหักหลังกัน

เมื่อความจริงเปิดเผย เหยี่ออาจปฏิเสธในตอนแรกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีอย่างที่คนอื่นกล่าวหา สุดท้ายอาจโทษตัวเองที่โง่ให้เขาหลอก บางอารมณ์ก็อาจโทษตัวเองที่ไม่ดีพอจนเขาทิ้งไป ความสับสนนี้เป็นเพราะเราโดนล้อเล่นกับความรู้สึกจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงหรือไม่จริง รู้แค่ว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุกและไม่มีใครคิดว่าจะเกิดกับตัวเอง

อย่างไรก็ตามความเสียหายภายนอกนั้นไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่จิตใจของเหยี่อที่ทั้งรัก ไว้ใจและเชื่อใจ ยิ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นถูกสร้างให้โรแมนติกมากเท่าไร ยิ่งกลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายแบบทวีคูณ ความรู้สึกดีๆ ที่ต้องเสียไปกว่าจะทำใจและยอมรับความจริงได้อาจต้องใช้เวลาเยียวยากันนานหลายปี สุดท้ายสิ่งที่ฮีลใจเหยื่อได้ก็คือความรู้สึกห่วงใยและกำลังใจจากคนรอบข้างที่รักกันจริง

เราอยากเห็นทุกคนมีสติบนโลกออนไลน์และรู้สึกอุ่นใจที่มีอูก้าอยู่ตรงนี้ คอยช่วยดูแลใจคุณทุกที่ทุกเวลา สามารถทักมาปรึกษาพี่ๆ นักจิตวิทยาและจิตแพทย์ของอูก้าได้เสมอเลยนะ

อ้างอิงจาก

The Psychology of the Online Dating Romance Scam โดย The University of Leicester

https://brandinside.asia/romance-scam-high-rate-covid-19/

https://www.the101.world/romance-scam/

Read More
Iron girl นักกีฬาโดนบูลลี่

OOCAstory ด้านมืดของระบบที่กดทับ และจบชีวิต Iron Girl

“ถามจริงเถอะ รูปร่างแบบนี้เธอแปลงเพศมาหรือไง” หรือ “เธอเป็นกระเทยหรือเปล่า” ถ้อยคำดูถูกเหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งต้องเจอแทบทุกวัน ในสภาพสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) และเคร่งครัดเรื่องระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง (Seniorism) อย่างประเทศเกาหลีใต้ ด้วยความฝันที่จะคว้าเหรียญทอง นักกีฬาต้องเผชิญความเครียดจากการฝึกซ้อมและการถูกบูลลี่อย่างรุนแรง มันคุ้มค่าหรือไม่กับความสำเร็จที่ได้มา

.

ชเวซุกฮยอนว่าที่นักกีฬาโอลิมปิกวัย 22 ปีตัดสินใจฆ่าตัวตายหลังจากถูกบูลลี่มานานกว่า 4 ปี ตอน 11 ขวบ เธอลงแข่งไตรกีฬาเยาวชนแห่งชาติและคว้าเหรียญทองมาได้จนได้ฉายาว่า “Iron Girl” เธอเล่าว่า ตัวเองฝันไว้ว่าอยากลงแข่งไตรกีฬาชิงแชมป์โลกและดูแลครอบครัวที่มีฐานะยากจนให้สุขสบาย

.

หากอยากติดทีมชาตินักกีฬาต้องเข้าไปอยู่ในสังกัดของสโมสรใหญ่ๆ ที่มีอุปกรณ์ ตารางซ้อมและเงินทุนที่พร้อม ซุกฮยอนจึงเข้าไปอยู่ภายใต้การดูแลของกวางจู ซิตี้ฮอลล์ ที่มีนักไตรกีฬาหญิงเจ้าของเหรียญทองเอเชียนเกมส์ 2010 อย่างจางยุนยองอยู่ด้วย

.

ซุกฮยอนที่เป็นความหวังใหม่ในวัย 19 ปีกับตัวเต็งวัย 28 ปีที่พยายามรักษาตำแหน่งอย่างยุนยอง ท่ามกลางคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นทุกวันแต่ทางเลือกกลับน้อยลง ยิ่งในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ การสร้างชื่อเสียงให้ประเทศก็เหมือนมีใบเบิกทางดีๆ นี่เอง แน่นอนว่ารุ่นพี่ใช้วิธีกดซุกฮยอนเอาไว้ด้วย “การบูลลี่” อย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและคำพูด บางครั้งก็ตบหัว ต่อย ผลัก เรียกคนอื่นให้มาร่วมวงด้วยและทุกคนก็ดูสนุกกับทำแบบนี้

.

สุดท้ายซุกฮยอนเลือกที่จะบอกโค้ช คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่โค้ชทำคือเรียกทั้งสองคนมาแล้วให้ซุกฮยอนคุกเข่าขอโทษรุ่นพี่ หลังจากนั้นโค้ชก็บูลลี่เธอด้วย ทั้งตบตี ด่าทอ บังคับให้เธอกินอาหารจนอาเจียน ซุกฮยอนรู้สึกโดดเดี่ยวมาก แม้จะมีคนเห็นใจเธออยู่บ้างแต่ไม่มีใครกล้าพอจะยื่นมือมาช่วยเธอเลย

.

จิตใจที่บอบช้ำทำให้ฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย ซึ่งเป็นช่วงที่ยุนยองกวาดเหรียญแทบทุกรายการทั้งในและนอกประเทศ จนขึ้นเป็นเบอร์ต้นๆ ของสโมสรเลยทีเดียว หลังจากพักไป 1 ปี ซุกฮยอนรวบรวมความกล้าเพื่อกลับมาแต่วัฒนธรรมการซ้อมที่เข้มงวดแต่ไหนแต่ไร นักกีฬามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของโค้ชและระบบรุ่นพี่รุ่นน้องที่เข้มงวดมาก ทำให้เธอติดอยู่ในวังวนเดิมๆ

.

ไม่ใช่แค่ยุนยองและโค้ช แต่รอบนี้ยังมีแพทย์ประจำทีมอย่างอันจูยุน และนักกีฬาชายคิมโดฮวานที่บูลลี่เธอด้วย นอกจากร่างกายที่โดนเตะตีสารพัด โค้ชและหมอยังบอกว่า ซุกฮยอนเป็นโรคทางจิตและชอบทำตัวมีปัญหา เมื่อเสียกำลังกายและใจในการฝึกซ้อม เธอค่อยๆ ห่างไกลจากการติดทีมชาติ ซุกฮยอนตัดสินใจส่งเรื่องไปแจ้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งสมาคมไตรกีฬาของเกาหลีใต้ สถานีตำรวจกวางจู เพื่อที่จะหยุดความรุนแรงทั้งหมดนี้ แต่เรื่องกลับเงียบหายไป ซ้ำตำรวจยังบอกว่าเธอไม่มีความอดทนมากพอ การซ้อมกีฬาก็เหนื่อยแบบนี้แหละ

.

ซุกฮยอนเริ่มรวบรวมหลักฐาน ทั้งภาพ คลิปที่เธอโดนทำร้ายสารพัด เธอบันทึกลงไดอารี่ว่า “ฉันอยากตาย จะโดนรถชน โดนโจรเอามีดแทงหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น ฉันไม่อยากอยู่ในโลกนี้แล้ว” เรื่องราวเลวร้ายลงจนวันหนึ่ง โค้ชเรียกแม่ของเธอมาและบังคับให้แม่ตบหน้าลูกตัวเอง โค้ชขู่ว่าจะไล่ออกจากสโมสรถ้าแม่ไม่ทำ จนซุกฮยอนต้องบอกให้แม่ตบเธอ สุดท้ายสองแม่ลูกได้แต่กอดกันร้องไห้

.

ในที่สุดซุกฮยอนตัดสินใจลาออกจากกวางจู ซิตี้ฮอลล์ แต่ด้วยทัศนคติที่คนเกาหลีเชื่อว่านักกีฬาต้องอดทน ทำให้เธอหมดหวังที่จะติดทีมชาติ มองย้อนกลับไปเธอเคยเป็นดาวรุ่งในวงการกีฬา มีทั้งความฝันและความหวัง รวมถึงอยู่ในช่วงวัยที่กำลังเปล่งประกายที่สุด แต่ความกลัวทำให้เธอไม่มีแรงจะพัฒนาตัวเองอีกแล้ว

สายตาที่ทุกคนตัดสินเธอ ทำให้ซุกฮยอนสับสนว่าการบูลลี่นั้นเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเจอหรือ ?

.

การจากไปของซุกฮยอนทำให้เรื่องราวถูกเปิดเผย แต่โค้ชก็ไม่ได้รู้สึกผิดและยังส่งข้อความไปย้ำกับคนในสโมสรว่า “ซุกฮยอนไม่สามารถเอาชนะปัญหาได้เอง อย่าบอกคนนอกเด็ดขาดว่ามันเกิดอะไรขึ้นในทีม” ด้วยความระแวงว่าตัวเองอาจเป็นเหยี่อเช่นเดียวกับซุกฮยอน คนในทีมจึงเริ่มออกมาพูดเรื่องนี้ จนสังคมเริ่มถกเถียงกันในวงกว้าง

.

ประธานาธิบดีมุนแจอินได้ออกมาพูดถึงประเด็นนี้ว่า ความรุนแรงและฝึกซ้อมอย่างโหดร้ายต้องไม่เกิดขึ้นอีก มันน่าเศร้าที่ทุกคนรับรู้แต่ปล่อยผ่าน หน่วยงานรัฐก็ไม่ทำอะไรเลยทั้งที่มีเรื่องร้องเรียนมานานแล้ว มุนแจอินสั่งให้สืบสวนทันที ซึ่งหลักฐานที่ซุกฮยอนรวบรวมไว้นั้นชัดเจนทุกอย่าง ทำให้โค้ชและยุนยองถูกคณะกรรมการโอลิมปิกเกาหลีใต้และสมาคมไตรกีฬาแห่งชาติ สั่งแบนตลอดชีวิต คนอื่นๆ ถูกตัดสินโทษไปตามสมควร ที่น่าตกใจกว่านั้นคืออันจูยุนเป็นแพทย์ปลอมที่ไม่มีใบประกอบด้วยซ้ำ

.

การฝึกซ้อมด้วยวิธีล้าหลังแบบนี้ยังคงมีอยู่เพราะที่ผ่านมาผลงานเป็นที่น่าพอใจและจับต้องได้ เหมือนเป็นการตอกย้ำความเชื่อที่ผิดๆ ความเครียดและการแข่งขันที่สูงขึ้นทุกวันเหมือนผลักให้คนเข้าใกล้ปากเหวขึ้นทุกที แน่นอนว่าทุกคนอยากดี อยากเก่ง อยากเป็นที่จดจำ แต่บางคนกลับโดดเดี่ยวและรู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการของใครเลย

.

การสูญเสียแต่ละครั้งมักมีเรื่องราวซ่อนอยู่ คนที่เจ็บป่วยทางใจมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อโดยเฉพาะวัยรุ่นที่เป็นความหวังของประเทศ หลายๆ คนอยากมีชีวิตหรือเติบโตไปเป็นคนดังในเกาหลีใต้ แต่ใครจะรู้ว่าภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้น ทิ้งเบื้องหลังที่แสนเจ็บปวดไว้มากมายขนาดไหน

.

แล้วตัวเราเป็นใครในเรื่องนี้ เป็นคนลงมือ เป็นคนต่อต้าน เป็นคนซ้ำเติมผู้ที่ถูกกระทำ หรือเป็นคนที่ชี้นิ้วหาคนผิด หรือเราเป็นแค่ bystanders ที่รับรู้ แต่ไม่ลงมือทำอะไรเลย เรื่องราวอาจไม่บานปลายขนานี้ หากมีใครสักคนช่วยรับฟังและปกป้องเธอ

.

เรามาทำความเข้าใจกับปัญหาการบูลลี่ให้มากขึ้นเถอะนะ อูก้าอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทุกคนมองเห็นคุณค่าของตัวเองและกล้าที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อต้องการ คุณสามารถพูดคุยนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ของอูก้าได้เสมอนะคะ เรื่องของใจให้เรารับฟัง

อ้างอิงจาก

https://www.facebook.com/jingjungfootball/photos/a.1763433500538559/2566322330249668/

Read More
ทำไมต้องเลิกเป็นติ่ง

OOCAissues : ทำไมใครๆ ก็ชอบบอกให้ฉันเลิกเป็น “ติ่ง”

“จะเป็นติ่งไปถึงเมื่อไร” และ “ทำไมถึงทำตัวไม่ค่อยสมกับวัยเลย” เคยถามคำถามนี้กับตัวเองไหม?

ด้วยความที่เราเองก็เป็นติ่งมาหลายปี เลยเริ่มสงสัยเรื่องนี้จากคำถามที่เกิดขึ้นในงาน “ #SAVEMYSELF เอาความสุขของเราคืนมา” ที่อูก้าได้มีโอกาสร่วมงานกับทาง Brandthink เจ้าของเรื่องเล่าว่าตัวเองอยู่ในวัยทำงานและมีความเจริญก้าวหน้าในระดับหนึ่งที่มีงานอดิเรกคือการเป็น “ติ่ง” แต่ด้วยวัยใกล้สามสิบทำให้ครอบครัวและคนรอบข้างตั้งคำถามเกี่ยวกับการเป็น “ติ่ง” แรกๆ เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกเครียดอะไร ออกจะพอใจที่การติ่งทำให้เรามีความสุข แต่ไปๆมาๆ ก็เริ่มคิดแล้วว่าหรือเราโตเกินไปแล้วจริงๆ ควรจะหันมาโฟกัสชีวิตตัวเองให้มากขึ้น หรือแคร์สายตาคนรอบข้างไหมน

แล้วสิ่งใดที่เป็นตัววัดว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบไหน อายุเท่านี้เหมาะกับกิจกรรมอะไรบ้าง แล้วอะไรที่ทำได้ถ้าเป็นวัยรุ่น แต่ห้ามทำถ้าเข้าวัยทำงาน มันสามารถแบ่งแยกกันได้ชัดเจนเลยหรือเปล่า หรืออยู่ที่วิจารณญาณของเราเองและสังคมที่เราอยู่ หากจะบอกว่าคำพูดของคนรอบข้างไม่มีอิทธิพลเลยก็คงจะโกหก เพราะเรายังต้องทำงานต้องเข้าสังคม ในบางอาชีพภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือนั้นสำคัญมาก แต่ถ้าจะให้ความคิดคนอื่นมีน้ำหนักมากกว่าความสุขของเรา คงต้องชั่งใจดูอีกทีว่าผลกระทบมันมากเสียจนเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงความชอบของตัวเองด้วยเหรอ

#คำแนะนำจากทีมงานอูก้า

ถ้าเรารับผิดชอบหน้าที่ได้ดี ไม่ต้องสนใจหรอกว่างานอดิเรกหรือความชอบเราจะทำให้ใครเข้าใจผิด ต่อให้เรากังวลว่าคนอื่นอาจจะตัดสินเราหรือมองเราเปลี่ยนไป แต่อย่าลืมว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราได้รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร และใครทำให้เรามีความสุข สิ่งนี้คือเกราะป้องกันเราในวันที่อ่อนแอหรือท้อแท้

บอกตัวเองว่าความสุขไม่ต้องเลือกอายุ ไม่ใช่แค่เรื่องติ่งเท่านั้น แต่ถ้าเราอินกับอะไรมากๆ จนเกิดเป็นความผูกพันอยากให้รักษาสิ่งนั้นไว้ ตราบใดที่เรารับผิดชอบชีวิตตัวเองและดูแลใส่ใจคนรอบข้าง หากเราจะมีกิจกรรมบางอย่างเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ตัวเองมีรอยยิ้มมากขึ้นก็ขอจงเก็บมันไว้เป็นพลังใจ

#คำแนะนำจากนักจิตวิทยาของอูก้า

เวลาที่เราได้ฟังคำพูดของครอบครัวหรือคนรอบข้างแล้วทำให้เครียด กดดัน อยากชวนให้ทุกคนเปิดใจและรับรู้ความรู้สึกและความต้องการของคนๆ หนึ่งที่อยากให้คนอื่นเข้าใจมุมมองหรือสิ่งที่เขาชอบมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป คำพูดบางคำที่เราไม่ทันระวัง แม้มีเจตนาพูดด้วยความห่วงใย แต่ทำให้ผู้ฟังรับรู้ไปในเชิงถูกตัดสินว่า “ความคิดและตัวตนที่เขาเป็นนั้นไม่ดีไม่โอเค ไม่เหมาะสมกับวัยวุฒิ” จึงอยากให้ผู้พูดตระหนักถึงการพูดคุยในเชิงบวก ยอมรับและไม่ตัดสินตัวตนที่เขาเป็น ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

1. ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราคงนำบรรทัดฐานของตนเองไปกำหนดหรือนิยามความสุขของคนอื่นไม่ได้ เป็นเรื่องปกติที่คนอื่นจะมีความเห็นที่แตกต่างกับเรา แต่เราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยยอมรับและเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง

2. เราคงไม่ไปกำหนดหรือขัดขวางในสิ่งที่เขาเลือก สิ่งที่เขารักซึ่งเหมาะกับตัวเขา แต่ละบุคคลมีสิทธิที่เลือกวิถีชีวิตตนเองตามใจปรารถนา เพราะแต่ละบุคคลมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือก ตราบใดที่สิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ส่งผลเสียต่อตัวเขาเองและคนอื่น ไม่ได้ขัดต่อหลักกฎหมายและศีลธรรมอันดีแต่อย่างใด ดังนั้นความสัมพันธ์ที่มีสุขภาวะ (Healthy) ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การกำหนดหรือครอบงำโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

3. คนรอบข้างเองก็ไม่ควรไปเดือดเนื้อร้อนใจเป็นห่วง หรือกำหนดวิถีชีวิตของคนอื่นนั้นมากจนเกินไป เพราะทุกคนต่างก็สามารถดูแลและรับผิดชอบในสิ่งที่ได้เลือกแล้ว

สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนสำรวจตัวเองและตระหนักรู้อยู่เสมอว่า คำพูดหรือการแสดงออกของเรามีผลทำให้คนใกล้ตัวรู้สึกเครียดไม่สบายใจหรือไม่ เพราะความหวังดีที่มีต่อคนอื่นมักเป็นไปตามความคาดหวังของเราทั้งสิ้น ซึ่งอาจทำให้คนที่เรารักไม่มีความสุขได้เหมือนกัน

อาจพูดได้ว่า “การติ่ง” ไม่ใช่แค่ความรู้สึกชื่นชอบธรรมดา แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนบางคนหรือสิ่งของบางอย่างมีคุณค่าต่อจิตใจอย่างที่ไม่มีคำบรรยาย แล้วถ้าการติ่งคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเราไว้ เป็นพลังใจที่ทำให้เรามีแรงสู้ในทุกๆวัน เราควรจะทะนุถนอมความรู้สึกที่มีค่านี้ไว้มากกว่า เพราะถ้าวันหนึ่งความสุขในชีวิตเกิดขาดหายไป การเป็นติ่งก็ทำให้เรารู้ว่า “ยังมีสิ่งดีๆ คนดีๆ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงใจเราอยู่”

โดยส่วนตัวเราคิดว่าทางออกอาจไม่ใช่การเลิกติ่ง ถ้าเรารู้ว่าสิ่งไหนที่ทำแล้วเป็นความสุข อูก้าอยากให้ทุกคนกอดมันเอาไว้ให้แน่นๆ เลยนะ แล้วถ้ารู้สึกไม่สบายใจเรามาช่วยกันหาทางดีลกับความทุกข์นั้นกันดีกว่า เรื่องของใจให้อูก้าช่วยรับฟังได้เสมอ สามารถนัดมาปรึกษาได้ตลอดนะคะ

Read More
คำถามโอบกอดใจ ในวันที่เราไม่อยากอยู่

คำถามโอบกอดใจ ในวันที่เราไม่อยากอยู่


ในวันที่เหนื่อยล้า หมดแรง หมดหนทาง รอบข้างดูมืดมิดไปหมด
ความตายดูเหมือนจะเป็นทางออกหนึ่งที่หลายๆ คนนึกถึง
เพื่อที่จะหนีอะไรหลายๆ สิ่งไป หรือเพื่อที่จะหยุดความทุกข์เอาไว้

Read More