Hello , Anxiety ขอบคุณที่อยู่กับฉันในวันที่โดดเดี่ยว

Hello, Anxiety

You’ve come to keep me company

Tonight, a lonely soul

I’ve tried to learn the art of letting go

สวัสดีความกังวลใจ

เธอเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนฉัน

คืนนี้ ที่ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว

ฉันได้เรียนรู้ความสวยงามของการปล่อยวาง

แต่ละคืนเรานั่งอยู่เพียงลำพังในโลกใบเล็กของตัวเอง บอกไม่ได้เลยว่าตอนนี้ทุกอย่างมันยากลำบากเพราะอะไร ทำไมเราถึงต้องร้องไห้ ทำไมเราถึงต้องแบกรับความเหนื่อยล้า เรากังวล เราเป็นทุกข์ เรามีคำถามในใจมากมายที่หาคำตอบไม่ได้

วันที่โลกที่มืดมน เราได้แต่ภาวนาให้ตัวเองพบเจอความสว่างอีกครั้ง 💫

ความกังวลพัดมาเกาะกินใจเรา บางสิ่งสามารถเข้าใจและยอมรับได้แต่บางอย่างกลับมองเห็นไม่ชัดเจน เกิดเป็นหมอกควันรบกวนความรู้สึก ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะหยิบมันขึ้นมาแก้ไข ใช้เวลาทำใจกว่าจะโยนมันทิ้งไป ไม่ต่างอะไรจากการสะสมขยะจนล้นถัง ไม่ได้ระบายไม่ได้ปล่อยวาง สุดท้ายก็กลายเป็นความกังวลที่เข้ามาทักทายไม่มีสิ้นสุด

What if the world won’t bend my way?
What will it take to be happy?

ไม่รู้ว่าตอนนี้เรายืนอยู่ที่จุดไหน แต่ปลายทางฉันอยากเป็นคนที่มีความสุข หลายครั้งเราถามตัวเองว่าทำไมคนรอบตัวถึงมีความสุขยกเว้นเรา “ทำไมชีวิตคนอื่นถึงดูง่าย มีแค่ชีวิตเราที่ยากเสมอ” เราหวังเพียงสักครั้ง โลกนี้จะเข้าข้างเราและทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขที่สุด แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ อดีตยังคงเป็นความเจ็บปวดเสมอ อนาคตที่รอคอยก็ยังมาไม่ถึง สิ่งที่เราสัมผัสได้อาจเป็นเวลา “ปัจจุบัน” ที่เรานั่งอยู่ตรงนี้ เพื่อรับรู้การมีอยู่ของ “ตัวเอง”

เหมือนกับที่เราโหยหายความเป็นจริง อะไรก็ได้ที่เข้ามาทำให้เรารับรู้การมีอยู่ของตัวเอง

I’m craving something real, a kind of rush that I can feel
The night is rough you know, I’ve cried but I won’t dare to let it show

เราอาจเดินหลงทางไปบ้าง บอกตัวเองนะว่า “ไม่เป็นไร”
เราอาจเคว้งคว้างในค่ำคืนที่ไม่รู้จะผ่านไปอย่างไร กอดตัวเองไว้นะ เราจะ “ไม่เป็นไร”

พรุ่งนี้จะยังคงเป็นวันใหม่ พระอาทิตย์จะยังทักทายเราด้วยแสงสว่างเสมอ
เราไม่จำเป็นต้องกลัวเมื่อ “ความกังวล” เดินเข้ามา

เสียงในหัวที่บีบให้เราทรมานอาจเป็นเพราะความกังวลนั้นไม่มีคำตอบ
‘ถ้าฉันไม่ทำแบบนั้นจะเป็นอย่างไร’
‘ฉันที่เป็นแบบนี้ ยังเป็นที่ต้องการอยู่ไหม’
‘พรุ่งนี้ทุกอย่างอาจเลวร้ายกว่าที่คิด’

นี่คือสิ่งที่ความกังวลบอกเรา ตอกย้ำว่า ‘เราหยุดคิดไม่ได้เลย’ คนรอบตัวก็คอยบอกเสมอว่า ‘คิดมากเกินไป’
อย่าโกรธเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย ไม่ผิดอะไรถ้าเราจะมี “ความกังวล” เป็น “เพื่อน”
เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะอยู่กับความกังวล ลองเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับความกังวลแบบที่ไม่มากไปไม่น้อยไป

แต่ละคนจัดการความกังวลได้ไม่เหมือนกัน รู้สึกกับมันในระดับที่ต่างกัน

ถ้าต้องอดทนกับทุกอย่าง เราเองคงจะ “เหนื่อย” มาก แต่การบอกให้เลิกกังวลคงเป็นไปได้ยาก ถ้าวันไหนความกังวลก่อตัวขึ้นในใจ อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ่งที่มันกำลังรบกวนใจ อย่าเพิ่งเก็บกดมันไว้ ให้เราใช้เวลาอยู่กับความกังวลนั้นสักพัก จนเราเรียนรู้ว่าจะ “ปล่อยวาง” มันได้อย่างไร ปลายทางหลังผ่านพ้นความมืดนี้ไป อาจไม่มีอะไรเลวร้ายอย่างที่คิด

ไม่เป็นไร เราบอกลาความกังวลได้เสมอ
ฉันจะไม่เป็นไร
เธอจะไม่เป็นไร
เราจะไม่เป็นไร

เชื่อเถอะว่าเราผ่านมันไปได้ เราอยู่กับความกังวลได้ บางครั้งเราอาจต้องเดินออกมาจากบางสิ่งบางอย่าง เลิกคาดเดากับอะไรที่ยังมาไม่ถึง พาตัวเองกลับมาโอบกอดความรู้สึกในปัจจุบันอีกครั้ง 🙂

บอกตัวเองว่าเราเก่งพอที่จะผ่านทุกอย่างไปได้ในวันที่ความกังวลเข้ามาทักทาย
เราอาจเติบโตในอีกรูปแบบหนึ่งโดยมีความกังวลเป็นเพื่อนร่วมทางไปกับคุณ

ไม่ผิดเลยถ้าเราเดินออกจากโลกที่มืดมิดไม่ได้ ถ้าวันไหนความกังวลนั้นแผ่ขยายจนใจเรารับไม่ไหว อยากขอความช่วยเหลือจากใครสักคน อูก้าพร้อมเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้คุณได้พักหัวใจ เรามีจิตแพทย์และนักจิตวิทยามากมายในแพลตฟอร์มให้คำปรึกษาออนไลน์ คอยรับฟังและดูแลใจคุณทุกที่ทุกเวลา ให้อูก้าเป็นอีกหนึ่งกำลังใจดี ๆ ที่จะเดินไปกับคุณนะ 💙

🌟 ฟังเพลง Hello, Anxiety ของ Phum Viphurit ได้ที่นี่ https://bit.ly/3zrBsow

#OOCAinsight #PhumViphurit #HelloAnxiety

________________________________
⠀⠀⠀⠀
ปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาผ่านวิดีโอคอล นัดคุยได้เลย
🔹 ดาวน์โหลดแอปฯ หรือคุยผ่านเว็บไซต์ > https://ooca.page.link/KFYm

Read More
ทำไมต้องเลิกเป็นติ่ง

OOCAissues : ทำไมใครๆ ก็ชอบบอกให้ฉันเลิกเป็น “ติ่ง”

“จะเป็นติ่งไปถึงเมื่อไร” และ “ทำไมถึงทำตัวไม่ค่อยสมกับวัยเลย” เคยถามคำถามนี้กับตัวเองไหม?

ด้วยความที่เราเองก็เป็นติ่งมาหลายปี เลยเริ่มสงสัยเรื่องนี้จากคำถามที่เกิดขึ้นในงาน “ #SAVEMYSELF เอาความสุขของเราคืนมา” ที่อูก้าได้มีโอกาสร่วมงานกับทาง Brandthink เจ้าของเรื่องเล่าว่าตัวเองอยู่ในวัยทำงานและมีความเจริญก้าวหน้าในระดับหนึ่งที่มีงานอดิเรกคือการเป็น “ติ่ง” แต่ด้วยวัยใกล้สามสิบทำให้ครอบครัวและคนรอบข้างตั้งคำถามเกี่ยวกับการเป็น “ติ่ง” แรกๆ เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกเครียดอะไร ออกจะพอใจที่การติ่งทำให้เรามีความสุข แต่ไปๆมาๆ ก็เริ่มคิดแล้วว่าหรือเราโตเกินไปแล้วจริงๆ ควรจะหันมาโฟกัสชีวิตตัวเองให้มากขึ้น หรือแคร์สายตาคนรอบข้างไหมน

แล้วสิ่งใดที่เป็นตัววัดว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบไหน อายุเท่านี้เหมาะกับกิจกรรมอะไรบ้าง แล้วอะไรที่ทำได้ถ้าเป็นวัยรุ่น แต่ห้ามทำถ้าเข้าวัยทำงาน มันสามารถแบ่งแยกกันได้ชัดเจนเลยหรือเปล่า หรืออยู่ที่วิจารณญาณของเราเองและสังคมที่เราอยู่ หากจะบอกว่าคำพูดของคนรอบข้างไม่มีอิทธิพลเลยก็คงจะโกหก เพราะเรายังต้องทำงานต้องเข้าสังคม ในบางอาชีพภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือนั้นสำคัญมาก แต่ถ้าจะให้ความคิดคนอื่นมีน้ำหนักมากกว่าความสุขของเรา คงต้องชั่งใจดูอีกทีว่าผลกระทบมันมากเสียจนเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงความชอบของตัวเองด้วยเหรอ

#คำแนะนำจากทีมงานอูก้า

ถ้าเรารับผิดชอบหน้าที่ได้ดี ไม่ต้องสนใจหรอกว่างานอดิเรกหรือความชอบเราจะทำให้ใครเข้าใจผิด ต่อให้เรากังวลว่าคนอื่นอาจจะตัดสินเราหรือมองเราเปลี่ยนไป แต่อย่าลืมว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราได้รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร และใครทำให้เรามีความสุข สิ่งนี้คือเกราะป้องกันเราในวันที่อ่อนแอหรือท้อแท้

บอกตัวเองว่าความสุขไม่ต้องเลือกอายุ ไม่ใช่แค่เรื่องติ่งเท่านั้น แต่ถ้าเราอินกับอะไรมากๆ จนเกิดเป็นความผูกพันอยากให้รักษาสิ่งนั้นไว้ ตราบใดที่เรารับผิดชอบชีวิตตัวเองและดูแลใส่ใจคนรอบข้าง หากเราจะมีกิจกรรมบางอย่างเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ตัวเองมีรอยยิ้มมากขึ้นก็ขอจงเก็บมันไว้เป็นพลังใจ

#คำแนะนำจากนักจิตวิทยาของอูก้า

เวลาที่เราได้ฟังคำพูดของครอบครัวหรือคนรอบข้างแล้วทำให้เครียด กดดัน อยากชวนให้ทุกคนเปิดใจและรับรู้ความรู้สึกและความต้องการของคนๆ หนึ่งที่อยากให้คนอื่นเข้าใจมุมมองหรือสิ่งที่เขาชอบมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป คำพูดบางคำที่เราไม่ทันระวัง แม้มีเจตนาพูดด้วยความห่วงใย แต่ทำให้ผู้ฟังรับรู้ไปในเชิงถูกตัดสินว่า “ความคิดและตัวตนที่เขาเป็นนั้นไม่ดีไม่โอเค ไม่เหมาะสมกับวัยวุฒิ” จึงอยากให้ผู้พูดตระหนักถึงการพูดคุยในเชิงบวก ยอมรับและไม่ตัดสินตัวตนที่เขาเป็น ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

1. ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราคงนำบรรทัดฐานของตนเองไปกำหนดหรือนิยามความสุขของคนอื่นไม่ได้ เป็นเรื่องปกติที่คนอื่นจะมีความเห็นที่แตกต่างกับเรา แต่เราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยยอมรับและเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง

2. เราคงไม่ไปกำหนดหรือขัดขวางในสิ่งที่เขาเลือก สิ่งที่เขารักซึ่งเหมาะกับตัวเขา แต่ละบุคคลมีสิทธิที่เลือกวิถีชีวิตตนเองตามใจปรารถนา เพราะแต่ละบุคคลมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือก ตราบใดที่สิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ส่งผลเสียต่อตัวเขาเองและคนอื่น ไม่ได้ขัดต่อหลักกฎหมายและศีลธรรมอันดีแต่อย่างใด ดังนั้นความสัมพันธ์ที่มีสุขภาวะ (Healthy) ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การกำหนดหรือครอบงำโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

3. คนรอบข้างเองก็ไม่ควรไปเดือดเนื้อร้อนใจเป็นห่วง หรือกำหนดวิถีชีวิตของคนอื่นนั้นมากจนเกินไป เพราะทุกคนต่างก็สามารถดูแลและรับผิดชอบในสิ่งที่ได้เลือกแล้ว

สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนสำรวจตัวเองและตระหนักรู้อยู่เสมอว่า คำพูดหรือการแสดงออกของเรามีผลทำให้คนใกล้ตัวรู้สึกเครียดไม่สบายใจหรือไม่ เพราะความหวังดีที่มีต่อคนอื่นมักเป็นไปตามความคาดหวังของเราทั้งสิ้น ซึ่งอาจทำให้คนที่เรารักไม่มีความสุขได้เหมือนกัน

อาจพูดได้ว่า “การติ่ง” ไม่ใช่แค่ความรู้สึกชื่นชอบธรรมดา แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนบางคนหรือสิ่งของบางอย่างมีคุณค่าต่อจิตใจอย่างที่ไม่มีคำบรรยาย แล้วถ้าการติ่งคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเราไว้ เป็นพลังใจที่ทำให้เรามีแรงสู้ในทุกๆวัน เราควรจะทะนุถนอมความรู้สึกที่มีค่านี้ไว้มากกว่า เพราะถ้าวันหนึ่งความสุขในชีวิตเกิดขาดหายไป การเป็นติ่งก็ทำให้เรารู้ว่า “ยังมีสิ่งดีๆ คนดีๆ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงใจเราอยู่”

โดยส่วนตัวเราคิดว่าทางออกอาจไม่ใช่การเลิกติ่ง ถ้าเรารู้ว่าสิ่งไหนที่ทำแล้วเป็นความสุข อูก้าอยากให้ทุกคนกอดมันเอาไว้ให้แน่นๆ เลยนะ แล้วถ้ารู้สึกไม่สบายใจเรามาช่วยกันหาทางดีลกับความทุกข์นั้นกันดีกว่า เรื่องของใจให้อูก้าช่วยรับฟังได้เสมอ สามารถนัดมาปรึกษาได้ตลอดนะคะ

Read More